The Road (2009)

Photobucket

เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่โลกถูกทำลายย่อยยับโดยอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครบอกได้ นอกเสียจากวันหนึ่งได้เกิดแสงสว่างวูบใหญ่ และทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีอาหาร ไม่มีพลังงาน ผู้คนนับล้านเสียชีวิตทันทีด้วยเปลวไฟแผดเผาและน้ำท่วม ส่วนที่เหลือก็ตายอย่างช้าๆ จากความอดอยากหลังจากพลังงานสูญสิ้นไป ชายหนุ่ม (วิกโก มอร์เทนเซ่น) และ เด็กชาย (โคดี้ สมิท-แมคฟี) คือ โลกทั้งหมดของกันและกัน ทั้งสองก้าวไปบนเส้นทางซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นถนนสายหลักของอเมริกาที่มุ่งหน้าสู่มหาสมุทร พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในป่า หรือที่ใดก็ตามซึ่งเห็นว่าปลอดภัยจากแก๊งข้างถนนที่เป็นทั้งนักล่าและนักกินไม่เลือก หรือพวกมนุษย์กินคน ทั้งคู่จึงมีเพียงกันและกันเพื่อความอยู่รอดบนโลกอันโหดร้ายใบนี้

The Road ดัดแปลงมาจากนิยายระดับพูลิทเซอร์ชื่อเดียวกันของ คอร์แมค แมคคาร์ธีย์ (เจ้าของผลงาน No Country For Old Men) ผลงานกำกับของ จอห์น ฮิลล์โคท (The Proposition) นำแสดงโดย วิกโก้ มอร์เทนเซ่น (จาก Lord of The Ring ทั้ง 3 ภาค) กาย เพียร์ซ (Don’t Be Afraid of the Dark, The Hurt Locker) ชาร์ลิซ เธอรอน (Monster, Hancock, The Italian job) และ โคดี้ สมิท-แมคฟี (Let Me In เวอร์ชั่น 2010)

โดยเนื้อหาแล้ว The Road เป็นหนังว่าด้วยโลกหลังวันโลกาวินาศ (Post Apocalypse) เหมือนอย่าง Mad Max, Book of Eli และอื่นๆ แต่แทนที่จะเน้นไปทางด้านแอคชั่น หรือ แนวสยองขวัญ เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ The Road นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกชาย ในแนวชีวิตดราม่าแทน โดยแฝงคำถามกับคนดูว่า จะเป็นเช่นไหรหากวันหนึ่งเราต้องอยู่ในสภาพเฉกเช่นสองพ่อลูกในหนัง ที่ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น เราจะเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงเหมือนกับบางคน หรือจะยอมละทิ้งความเป็นคนด้วยการปล้น ฆ่า และกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง นอกจากนี้ หนังยังแสดงให้เห็นถึงความรักความห่วงใยของพ่อที่มีต่อลูก ที่พ่อพยายามสอนลูกให้รู้จักการเอาชีวิตรอด แต่ไม่ให้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ไป ขอเพียงแค่มีความหวัง มีแสงสว่างภายในจิตใจ (ความดี) สิ่งนี้ก็จะทำให้เรามีชีวิต เพื่อก้าวผ่านสิ่งที่เรียกว่า บททดสอบจากพระเจ้า นั้นเอง

As Good As It Gets (1997)

Photobucket

เมลวิน ยูดอล (แจ็ก นิโคลสัน) นักเขียนนวนิยายรักมีชื่อ ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำคำ กลัวความสกปรก เหยียดผิว และปากร้าย มีนิสัยเห็นแก่ตัว และชอบพูดจาถากถางใครๆ ให้เจ็บใจ เป็นที่เอือมระอาต่อเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะไซมอน (เกร็ก คินเนียร์) จิตรกรเกย์ข้างห้อง ที่เลี้ยงหมาตัวเล็กๆ ชื่อ เวอร์เดล ทุกวันเมลวินจะต้องไปกินอาหารที่ร้านเดิม ที่โต๊ะตัวเดิม แต่ด้วยนิสัยปากร้าย ทำให้ไม่มีพนักงานเสิร์ฟคนไหนอยากบริการเขา มีเพียงคนเดียวคือ แครอล (เฮเลน ฮันท์) ที่รับมือกับเมลวินได้ วันหนึ่งแครอลไม่มาทำงาน เมลวินจึงตามไปที่บ้าน เพราะถ้าหากเธอไม่มาเสิร์ฟอาหารให้ ก็ไม่มีใครในร้านยินดีบริการเขา เมลวินพบว่าลูกชายของแครอลป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด เขาจึงเสนอให้หมอนอร์แมน เบตส์ (แฮโรลด์ รามิส) สามีของบรรณาธิการที่ตีพิมพ์นวนิยายของเขา ไปรักษาลูกชายของแครอล เพื่อให้เธอกลับมาทำงานตามปกติ ในขณะเดียวกัน ไซมอนถูกโจรทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมลวินถูก แฟรงก์ ซาชส์ (คิวบา กูดิง จูเนียร์) เพื่อนข้างห้องอีกคนหนึ่ง บังคับให้นำเวอร์เดลหมาของไซมอนมาดูแล จากการที่ได้ใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง เมลวินเริ่มมีนิสัยที่อ่อนโยนลง และค่อยๆ ปรับตัวเข้าหาคนอื่น จนใครๆ ก็เริ่มรับรู้ว่าแท้ที่จริงเขาก็เป็นคนมีน้ำใจ

As Good As It Gets กำกับโดย เจมส์ เอลบรู๊ค จากบทภาพยนตร์ที่เขาเป็นคนเขียนขึ้นเอง ว่าด้วยเรื่องราวของคนในแมนฮัตตัน ที่แม้จะมีแต่ดาราอายุมากและดารารองบ่อน แต่หนังก็ทำเงินไปได้อย่างงดงาม พร้อมทั้งคว้ารางวัลใหญ่ 2 รางวัลจากเวทีออสการ์ (จากการเข้าชิง 7 รางวัล) คือ รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (แจ๊ค นิโคลสัน) และรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (เฮเลน ฮันต์)

หนังมีตัวละครหลักเพียงไม่กี่คน แต่กลับดำเนินเรื่องได้อย่างราบรื่นและน่าติดตาม โดยตัวหลักอยู่ที่ตัวละครอย่างเมลวิน ที่ใครได้ชมก็คงอยากบีบคอหมอนี้ให้ตายคามือ เพราะด้วยลีลายียวนกวนบาทาและคำพูดที่เชือดเฉือน ที่ใครได้ยินก็คงต้องสะอึก อีกทั้งพฤติกรรมแปลกประหลาด และดูเหมือนจะเอาตัวเองและความคิดเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ที่ได้แจ็ค นิโคลสัน มารับบทที่ว่า ซึ่งก็แสดงได้อย่างลงตัว รวมถึงการแสดงที่เข้าขากันระหว่างเฮเลน ฮันต์ ในบทแ แครอล สาวเสริ์ฟที่สามารถทนพฤติกรรมแปลกๆ ของเมลวิน รวมถึงเป็นคนเดียวที่เมลวินไม่กล้าหือด้วย ยามที่พูดจากระทบกระทั่ง แต่เมื่อเขาเริ่มหลงรักแครอล มันก็ทำให้เขาอยากเป็นคนปกติ เป็นคนที่ดีสำหรับใครสักคนที่เขารักและเทิดทูน

หนังค่อยๆ ทำให้เราเห็นถึงธาตุแท้ของเมลวิน ที่แม้ว่าจะดูแปลกและแล้งน้ำใจ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนที่ทุกคนสามารถพึ่งพาได้ในยามคับขัน ทำให้เราเรียนรู้ว่า บางครั้งเราก็ตีค่าของคนจากสิ่งที่เห็นจากภายนอกไม่ได้ โดยแท้จริงแล้ว เมลวิน อาจจะมีปัญหาในการสื่อสารและสร้างปฎิสัมพัทธ์กับคนรอบข้าง (อาชีพของเมลวินคือนักเขียนนิยายรัก ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีความรัก แสดงว่าเขาเป็นคนที่มีจินตนาการค่อนข้างสูง และรวมถึงมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน) หนังแสดงให้เราเห็นว่า การที่เราจะคบกับใครสักคน ไม่ว่าจะด้วยสถานะภาพใดก็ตาม เราไม่สามารถมองคนๆ นั้นเพียงด้านเดียว แต่อาจจะมองในด้านที่ดีบ้าง เสียบ้าง แล้วชั่งใจว่าเราเห็นด้านใดของเขามากกว่ากัน คนเราอาจจะไม่สมบูรณ์แบบไม่ซะทั้งหมด มันก็คงเหมือนชื่อเรื่องที่สุดท้ายแล้ว “คนเราดีเท่าที่มันจะเป็นไปได้” นั้นเอง

Johnny English Reborn (2011)

Photobucket

นับแต่สายลับของ MI7 นาม จอห์นนี่ อิงลิช (โรแวน แอทคินสัน) หายตัวไปจากวงการ อันที่จริงเขาแอบซุ่มฝึกปรือฝีมืออันโดดเด่นอยู่ในดินแดนอันห่างไกลในเอเชีย แต่เมื่อบรรดาผู้มีอำนาจในหน่วยงานพบข้อมูลว่ามีความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่คิดจะปลิดชีวิตผู้นำจีน พวกเขาจึงต้องตามหาตัวสายลับสุดแหวกแนวผู้นี้ เมื่อโลกต้องการความช่วยเหลือจากเขาอีกครั้ง เมื่อมาถึงลอนดอน อิงลิชก็พบว่า ระหว่างที่เขาหายตัวไปนานนั้น MI7 พลิกโฉมหน้าไปอย่างมาก ผู้บริหารมันในแบบที่ถูกต้องตามระเบียบการเมืองคือ พาเมลา ธอร์นตัน หรือ เพกาซัส (กิลเลียน แอนเดอร์สัน) ผู้พยายามจะขัดขวางวิถีที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของอิงลิช แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อิงลิช รู้สึกยินดีกับการได้กลับมาอีกครั้ง และการได้ร่วมงานกับไอดอลของเขา เจ้าหน้าที่แอมโบรส หรือ เอเจนท์ วัน (โดมินิค เวสต์) รวมถึง ควอเตอร์เมน (ทิม แม็คอินเนอร์นี) และท้ายที่สุดเขาก็ได้ทำความรู้จักกับนักจิตวิทยาพฤติกรรมสาวสวย เคท ซัมเมอร์ (โรซามุนด์ ไพค์)

เพกาซัสออกคำสั่งให้อิงลิชปฏิบัติการอย่างเร่งด่วน ในการเดินทางไปฮ่องกงเพื่อตามหาตัวฟิชเชอร์ (ริชาร์ด ชิฟฟ์) อดีตเจ้าหน้าที่ CIA ผู้รู้ข่าวว่ามีการวางแผนจะสังหารนายกฯของจีน หลังจากมุ่งหน้าไปยังฮ่องกงพร้อมด้วยทัคเกอร์ (แดเนียล คาลูยา) เขาต้องใช้อุปกรณ์ไฮเทคล่าสุดเพื่อคลี่คลายเครือข่ายสมรู้ร่วมคิดที่แพร่กระจายเข้าไปทั้งในเคจีบี, ซีไอเอ และแม้แต่เอ็มไอ-7 ด้วยเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดก่อนจะถึงการประชุมนานาชาติ หนึ่งชายชาตรีผู้นี้ต้องใช้ทุกกลเม็ดที่พกมาในกระเป๋าเพื่อปกป้องพวกเราทุกคน สำหรับจอห์นนี่ อิงลิช หายนะอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่เขามิอาจล้มเหลวได้

ห่างหายจากภาคแรก 8 ปี (โรแวนเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขารับเล่นหนังใหญ่ 3-4 ปีต่อเรื่องเท่านั้น) หลังจากปล่อยให้สายลับสุดป่วนฮาแตกออกสู่โลกแห่งภาพยนตร์ โรแวน แอทคินสัน หรือฉายาที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม มิสเตอร์บีนส์ ก็กลับมารับบทสายลับสุดป่วนคนนี้อีกครั้ง ที่คราวนี้เปลี่ยนมือจากผู้กำกับ ปีเตอร์ โฮวิค มาเป็น โอลีเวอร์ ปาร์คเกอร์ และมุขขำๆ ฮาๆ ที่ดูจะไม่ฝืดเหมือนกับในภาคแรกอีกด้วย หนังยังคงแสดงให้เห็นถึงความเฟอะฟะและปัญญาอ่อนของสายลับอย่าง อิงลิช ในแบบเสมอต้นเสมอปลาย ตั้งแต่ในภาคที่แล้ว แต่แม้จะเฟอะฟะยังไงก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นคนที่ตั้งใจทำในสิ่งที่ตัวเองได้รับผิดชอบมา แม้ในบางครั้งจะหลงตัว เข้าใจผิด แต่เมื่อทำผิดพลาดก็พยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ดีขึ้น (แม้ว่าจะวินาศสันตะโรมากกว่าเดิมก็ตามที) หากใครคิดถึงมิสเตอร์บีนส์คนนี้ ลองดูหนังสายลับรั่วๆ เรื่องนี้สักหนก็อาจจะช่วยให้หายคิดถึงได้ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

อุโมงค์ผาเมือง (2011)

Photobucket

ปีพุทธศักราช 2110 ณ อุโมงค์ผีที่มืดมิดและเต็มไปด้วยร่างที่ไร้วิญญาณของนครผาเมืองแห่งอาณาจักรเชียงแสนอันรุ่งเรือง พระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) คนตัดฟืน (หม่ำ จ๊กม๊ก) และสัปเหร่อผู้อัปลักษณ์ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ต่างกำลังพยายามหาคำตอบของคดีฆาตกรรมปริศนาสุดซับซ้อนที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อ โจรป่าคำสิง (ดอม เหตระกูล) ถูกจับได้ในคดีข่มขืน แม่หญิงคำแก้ว (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) และฆ่า ขุนศึกคำหล้า (อนันดา เอเวอร์ริงแฮม) ผู้เป็นสามี จากคำให้การของทั้งสองสร้างความพิศวงให้แก่ เจ้าผู้ครองนคร (ศักราช กฤษ์ธำรงค์) และประชาชนผู้มาฟังคำให้การเพราะต่างก็ยอมรับว่าเป็นฆาตกร เจ้าผู้ครองนครจึงต้องพึง แม่หมอ-คนทรง (รัดเกล้า อามระดิษ) มาทำพิธีเรียกวิญญาณของขุนศึก เพื่อสอบถามหาความจริง แต่วิญญาณของขุนศึกก็กลับบอกอีกเรื่องว่า ตนเป็นผู้สังหารตนเองตายเพื่อรักษาเกียรติของตน ทำไมทั้งสามจึงต้องปกปิดความจริง แล้วอะไรละคือความจริงที่เกิดขึ้นในคดีฆาตกรรมที่ว่านี้

อุโมงค์ผาเมือง เป็นงานกำกับเรื่องใหม่ของ หม่อมน้อย ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล เพื่อแสดงความคาราวะในโอกาส 100 ชาตกาลของ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช และ 101 ปีของผู้กำกับ อากิระ คุโรซาว่า โดยดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ละครเวทีเรื่อง ราโชมอน (ประตูผี) ของ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ Rashomon ของ อากิระ คุโรซาว่า ที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง In a Glove ของนักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น ริวโนะสุเกะ อะคุตางาวะ อีกที

อุโมงค์ผาเมืองมีความโดดเด่นมาก ในการชำแหล่ะสันดานมนุษย์ ที่มักมองแต่ตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไรแม้จะต้องโกหกก็ตาม รวมถึงคนรอบข้างที่ยอมรับและเชื่อคำโกหกนั้นด้วย ความโดดเด่นอีกอย่างก็คือ รูปแบบการนำเสนอเรื่องราวในแบบของละครเวที มีฉากใหญ่ๆ เพียง 3 ฉาก เป็นการนำเสนอในแนว Minimalism ที่น้อยแต่ได้มาก โดยมีนักแสดงเด่นๆ เพียง 6 คน ที่แต่ละคนปล่อยของกันอย่างเต็มที่ และด้วยการนำเสนอในรูปแบบของละครเวที ทำให้การแสดงที่ออกมาของนักแสดงแต่ละคน อาจจะแสดงไปในทางโอเวอร์แอคติ้ง ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับนักดูหนังในบ้านเราเท่าไหร่ ที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือ งานเทคนิคทางด้านภาพและการถ่ายภาพที่สวยงาม มุมกล้องที่แปลกและแตกต่างจากหนังไทยโดยทั่วไป และที่สำคัญคืองานด้านโปรดักค์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นฉากอันสวยงามและ เครื่องแต่งกายที่โดดเด่นมาก นอกจากงานด้านเทคนิคและรูปแบบการนำเสนอแล้ว บทหนังก็ถือว่า เป็นอีกส่วนที่มีความโดดเด่น เพียงแต่เป็นการนำของเดิมมาสร้างใหม่ โดยไม่ได้มีการนำบทประพันธ์ มาตีความใหม่แต่อย่างใด ทำให้ผู้ที่เคยดูภาคละครเวทีหรือหนังต้นตำรับอย่าง Rashomon จับทางได้ และไม่มีการเซอร์ไพรส์ในตอนท้ายที่เฉลยออกมาว่า ความจริงที่ว่ามันคืออะไร แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ หนังอย่าง อุโมงค์ผาเมือง ดูน่าเบื่อหรือไม่สนุกแต่อย่างใด

Don’t Be Afraid of The Dark (2011)

Photobucket

แซลลี่ (เบลีย์ เมดิสัน) สาวน้อยวัย 9 ขวบ ต้องย้ายมาอยู่กับอเล็กซ์ (กาย เพียรซ์) ผู้เป็นพ่อและแฟนสาว คิม (เคธี่ โฮล์มส์) ทั้งคู่กำลังทำงานในคฤหาส์นแบล็ควู๊ด ซึ่งเป็นคฤหาส์นในสไตล์โกธิคขนาดใหญ่ และได้วางแผนที่จะทำการบูรณะซ่อมแซมก่อนที่จะขายต่อในราคาสูง แซลลี่นั้นถูกแม่แท้ๆ ของเธอผลักไสไล่ส่งจนทำให้เธอกลายเป็นเด็กเงียบขรึม แม้คิมจะพยายามเข้าหาและหยิบยื่นความเป็นมิตรให้ แต่แซลลี่ก็ไม่สนใจและพยายามทำตัวออกห่าง

วันหนึ่งแซลลี่พบห้องใต้ถุนด้วยความบังเอิญ ซึ่งในนั้นมีเตาผิงอันหนึ่งซึ่งถูกปิดตาย ด้วยความสนใจประสาเด็กทำให้เธอพยายามที่จะเปิดเตาผิงที่ว่านี้ให้ได้ แม้จะได้รับคำเตือนจากผู้ดูแลบ้าน แฮร์ริส (แจ็ก ธอมป์สัน) ขณะเดียวกันแซลลี่ก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ ขอร้องให้เธอเปิดประตูเตาผิงให้ได้ โดยเสียงที่ว่าสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกับเธอ ด้วยความเหงาและรู้สึกเป็นคนนอกภายในบ้านหลังใหญ่ที่ดูไร้ชีวิตแห่งนี้ เธอจึงเปิดประตูเตาผิงแม้อเล็กซ์จะมาห้ามไว้ได้ทัน แต่นั้นก็สายเกินไปเพราะเธอได้ปลดปล่อยภูตตัวเล็กที่แสนชั่วร้ายออกมาเพ่นพ่าน โดยพวกมันมีเป้าหมายก็คือ ชีวิตของแซลลี่ นั้นเอง

Don’t Be Afraid of the Dark สร้างมาจากภาพยนตร์สยองขวัญทางโทรทัศน์เมื่อปี 1973 ซึ่ง กุยเลอร์โม เดล โทโร บอกว่าเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้เขาสร้างหนังเรื่องนี้ด้วย ในส่วนของผู้กำกับหนังเรื่องนี้ยังถือเป็นผลงานกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของศิลปินนักวาดการ์ตูน ทรอย นิกซีย์ ผู้ซึ่งทำผลงานหนังสั้นไปแตะตาโปรดิวเซอร์ กุยเลอร์โม เดล โทโร จึงถูกชวนมากำกับหนังเรื่องนี้

Don’t Be Afraid of the Dark ได้คะแนนเต็มในการสร้างบรรยากาศความสะพรึงกลัวในสไตล์แบบโกธิค โดยใช้มุมมืดของตัวบ้านให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความไม่น่าไว้วางใจกับตัวละคร รวมถึงการเพิ่มดีกรีความน่ากลัวที่ไม่ต้องใช้ภาพชวนแหวะ หรือมุขเดิมๆ ของหนังเขย่าขวัญทั่วๆ ไป แต่หนังกลับไม่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้ แถมออกจะน่าเบื่อนิดๆ ในช่วงต้น อีกทั้งหนังดูรวบรัดตอนเฉลยที่มาของภูตและในฉากตอนจบ แม้ว่าหนังจะแฝงเนื้อหาของปัญหาครอบครัวและการทารุณ (จิตใจ) เด็ก แต่นั้นก็ไม่สามารถทำให้หนังล้มเหลวในแนวที่หนังควรจะเป็น

Colombiana(2011)

Photobucket

แคทเลยา (โซอี้ ซัลดาน่า) หญิงสาวที่สั่งสมความแค้นมาตั้งแต่ได้เห็นพ่อแม่ถูกฆาตกรรมต่อหน้าด้วยวัย เพียง 10 ขวบ ด้วยใบสั่งเก็บตายจากฝีมือของอาชญากรตัวเอ้แห่งประเทศโคลัมเบีย คาตาลีย่า รอดมาได้ด้วยความบังเอิญ และแม้จะมีทางเลือกที่จะเดินสู่ชีวิตคนธรรมดา แต่เด็กหญิงคนนั้นกลับเลือกที่จะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อล้างบัญชีเลือดให้ พ่อแม่ โดยมี เอมิลิโอ ลุงของเธอก็เป็นคนฝึกฝนให้เธอเป็นนักฆ่าสุดอันตราย เพื่อรับมือกับอิทธิพลทุกรูปแบบของคนที่สั่งสังหารทำลายครอบครัวของเธอ

Colombiana หรือ ระห่ำเกินตายเป็นงานกำกับเรื่องใหม่ของ โอลิวิเยร์ เมกะตง (Transporter 3) ภายใต้อำนวยการสร้างและเขียนบทของ ลุค เบซง (La Femme Nikita, The Professional, The Fifth Element และ Arthur and the Invisibles) ที่หลังๆ มักจะอยู่เบื้องหลังคอยหนุนผู้กำกับหน้าใหม่ขึ้นแท่นผู้กำกับมากกว่า นำแสดงโดย โซอี้ ซัลดาน่า (Star Trek 2009, Avatar และ The Losers)

หนังดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จของหนังแอ็คชั่นแนวนี้ แม้หนังจะมีการวางคาแร็คเตอร์สำหรับแคทเลยาเป็นหญิงแกร่งมาตั้งแต่เด็ก 10 นาทีแรกและการแสดงของ อแมนดลา สเตนเบริ์ก สามารถทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเธอ เจ๋ง จริง ถือเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนัง ก่อนจะตัดมาตอนที่เธอเดินทางมายังอเมริกาเพื่อตามหาลุงของเธอที่ชิคาโก้ และเลือกที่จะใช้ชีวิตด้านไหนระหว่างการเป็นคนธรรมดากับเป็นนักฆ่า ก่อนจะตัดมาในอีก 15 ปีที่เธอเริ่มลงมือวางแผนล่อศัตรูที่ฆ่าครอบครัวออกมาจากที่ซ่อน เมื่อมาถึงตรงนี้หนังเริ่มอืด และยิ่งดูสะเปะสะปะเมื่อมีการวางพล็อตความสัมพันธ์ระหว่าง แดนนี่ (ไมเคิล วาร์ตัน) และ แคทเลยา ในบทคู่รัก ซึ่งดูไม่มีที่มาและที่ไป แม้ โซลอี้ จะทำให้เราชื่อได้ว่า เธอคือนักฆ่าที่แสนอันตรายก็ตามที รวมถึงฉากแอ๊คชั่นในตอนท้ายที่ดูแห้งแล้งไปนิดนึง หากหนังเลือกที่จะตัดพล็อตคู่รักออก (ใส่มาเพื่อให้หนังไม่ดูแมนจนเกินไป) อาจจะทำให้หนังกระชับและดูสนุกกว่านี้