TRON ถือกำเนิดขึ้นจากไอเดียของผู้กำกับและมือเขียนบทที่มีจิตนาการล้ำอย่าง สตีเว่น ลิสเบอร์เกอร์ และได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ไฮเทคล้ำสมัยของค่ายดิสนีย์ในยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว เพราะ TRON เป็นภาพยนตร์รุ่นบุกเบิกในการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิก ฉากจำลองเหมือนจริง และการใช้เอฟเฟ็คท์ไฟเรืองแสง จนมาเป็นงานไลฟ์แอ็คชั่น งาน CG และอนิเมชั่นวาดมือที่เข้ากันได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น รวมถึงความที่มันมีเนื้อหาและเทคโนโลยีที่มาก่อนกาลเวลา ทำให้ TRON ได้รับการยอมรับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับแวดวงภาพยนตร์เลยทีเดียว โดยมี TRON Legacy มาสานต่อเรื่องราวหลังจากนั้น
เควิน ฟิลนน์ (เจฟฟ์ บริดเจส) โปรแกรมเมอร์หนุ่มอนาคตไกลของ ENCOM ในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เขาถูก เอ็ด ดิลลิงเจอร์ (เดวิด เวอร์เนอร์) ขโมยเอาผลงานเกมที่เขาคิดทั้งหมดมาเป็นของตน ทำให้เควินถูกไล่ออกและต้องมาเปิดร้านเกมส์อาร์เคด ต่อมาเควินพยายามแฮ็คข้อมูลของ ENCOM เพื่อหาหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยใช้โปรแกรมประตูหลังที่เขาเขียนขึ้นเอง แต่เควินพลาดท่าถูกระบบป้องกันของคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีปัญญาประดิษฐ์ใช้เลเซอร์ยิงใส่และแปลงให้เขาอยู่ในรูปข้อมูลดิจิตอล
ในโลกคอมพิวเตอร์เควินพบกับ ทรอน ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่เขียนโดย อลัน แบรดลีย์ (บรูซ บ็อกซ์ลีทเนอร์) และ โยริ ซึ่งเป็นโปรแกรมของลอร่าอดีตแฟนเก่า (ซินดี มอร์แกน) เควินพยายามหาทางออกจากระบบด้วยความช่วยเหลือของทรอนและโยริ เขาต้องต่อสู้กับ ซาร์ค โปรแกรมของดิลลิงเจอร์ในเกมที่เขาเป็นคนเขียนขึ้นในด่านสุดท้าย ซึ่งเควินเป็นผู้ชนะ และสามารถเปิดโปงดิลลิงเจอร์และก้าวขึ้นบริหาร ENCOM แทน อย่างไรก็ตามเควินยังคงแอบกลับไปเยือนโลกคอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราว จากห้องแล๊ปที่ซ่อนอยู่ในอาร์เคดของเขาเอง ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของ TRON Legacy
กว่า 20 ปีแล้วที่เควิน ฟลินน์กลายเป็นบุคคลสาปสูญ แซม ฟลินน์ (แกร์เรท เฮดสันต์) ที่เติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของอลัน ยังคาใจและรับไม่ได้กับการที่พ่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนวันหนึ่งอลันได้รับข้อความทางเพจเจอร์จากอาร์เคดที่ปิดไปกว่า 20 ปี ทำให้แซมต้องไปที่อาร์เคดที่ว่าอีกครั้งเพื่อค้นหาความจริง ที่นั้นเขาถูกดูดเข้าไปในโลกคอมพิวเตอร์ แซมได้รับการช่วยเหลือจากสาวลึกลับนาม ควอร่า (โอลิเวีย ไวลด์) แซมพบว่าเควินถูกจองจำอยู่ในโลกแห่งกริดเป็นเวลานานจากคูล คูลต้องการดิสของเควินในการเดินทางสู่โลกมนุษย์ ทั้งแซมและเควินจึงต้องหาทางออก เพื่อทำการปิดระบบของคลูก่อนที่คลูจะทำให้โลกคอมพิวเตอร์และโลกมนุษย์เป็นโลกเดียวกัน
เมื่อครั้งที่ TRON ออกฉายหนังได้รับคำวิจารณ์ในระดับธรรมดา แม้จะมีการดำเนินเรื่องที่สนุกสนาน แต่หากเราดูในปีที่หนังเรื่องนี้ฉาย เราจะเข้าใจว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนังเทคนิคล้ำอนาคตอย่าง TRON ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ คือการที่หนังเปิดฉายในยุคที่คอมพิวเตอร์เป็นของใหม่ มีคนรู้จักและเข้าใจระบบการทำงานของมันเพียงไม่กี่กลุ่ม ทำให้การเข้าถึงคนทั่วไปเป็นไปได้ยาก รวมถึงเนื้อหาที่เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำให้การมีส่วนรวมในตัวละครของผู้ชมถูกจำกัด ทำให้หนังไร้ความมีชีวิตชีวาและจืดชืดไปในทันที แม้การดำเนินเรื่องดำเนินเรื่องที่สนุกสนานและมีสไตล์การนำเสนอที่ไม่เหมือนใครก็ตาม
แม้ TRON จะไม่ทำเงินทำทองมากมายมหาศาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลับกลายเป็นหนังไซไฟคัลท์คลาสสิกที่มีคนนิยมชมชอบอยู่เฉพาะกลุ่ม และทวีความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทำออกมาเป็นวิดีโอเกม จนสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมป๊อปมากมาย และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินต่างๆ มากมายอีกด้วย และเมื่อนำ TRON กลับมาดูใหม่ เราจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ยืนหยัดอยู่ในกระแสหนังคัลท์ยาวนานกว่า 20 ปี ด้วยบทสนทนาที่เข้ากับยุคที่คอมพิวเตอร์และระบบดิจิตอล คือสิ่งที่ทุกคนแม้แต่เด็กประถมรู้จักเป็นอย่างดี รวมถึงการจิกกัดสังคมที่มีการพึ่งพาอาศัยคอมพิวเตอร์จนมนุษย์แทบไม่ต้องทำอะไร นอกจากกดปุ่มออกคำสั่งเพียงอย่างเดียว
นอกจากความล้ำหน้าในเรื่องของเทคนิคทางด้านภาพและเทคนิคพิเศษแล้ว ทั้ง TRON และ TRON Legacy ยังมีเนื้อหาที่แฝงนัยยะของการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของระบบทุนนิยม (ระหว่างดิลลิงเจอร์และเควิน หรือ ผู้บริการENCOM กับความคิดของอลันในการปล่อยฟรีซอฟแวร์เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้) การท้าทายอำนาจการปกครองสังคมที่ใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ (เควินและคลู หรือ แซมกับผู้บริหาร ENCOM) รวมถึงการต่อสู้ระหว่างความดีและความเลว โดยมีการใช้สัญลักษณ์ในเรื่องของสีเป็นตัวกำหนด อีกทั้งความเชื่อทางศาสนาที่เปรียบเทียบระหว่างผู้ใช้และโปรแกรม แทนความสัมพันธ์ระหว่าง พระเจ้า และ มนุษย์ แต่ในภาค Legacy ประเด็นทั้งหลายมีการกล่าวถึงเพียงผิวเผิน โดยเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ (เควิน) กับลูก (แซม) เข้ามาแทน และเสริมในเรื่องของการยอมรับ การกล้ายอมรับและเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้น การแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต (ตัวเควิน) และการหลงมัวเมาในอำนาจ (คลูที่เป็นเสมือนด้านมืดของเควินอีกที)
นอกจากนี้การดำเนินเรื่องของ TRON Legacy ยังมีความเป็นเอกเทศ แยกออกจาก TRON ค่อนข้างชัดเจน ทำให้ผู้ที่ไม่เคยชม TRON ภาคแรก สามารถเข้าใจเรื่องราวโดยการใช้ภาพย้อนอดีตเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองภาค แต่หากต้องการอรรถรสที่สมบูรณ์ การหา TRON ฉบับปี 1982 มานั่งดูก่อนการเข้าชม TRON Legacy ก็จะทำให้คุณเข้าใจเนื้อเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้น และเข้าใจว่าทำไมหนังสองภาคที่ห่างกัน 28 ปี จึงเป็นมรดกข้ามเวลา
ข้อมูลประกอบบางส่วนจาก Starpics ฉบับ 789 ปักษ์หลังประจำเดือนธันวาคม 2553 คอลัมน์ TRON: Legacy หน้า 62-71