Contagion (2011/ 2012)

Photobucket

เมื่อเบ็ธ เอ็มฮอฟฟ์ (กวินเน็ธ พัลโทรว์) กลับสู่มินนีแอโพลิสจกาการทำงานที่ฮ่องกง เธอคิดว่าเป็นเพราะอาการเจ็ตแล็กที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ สองวันถัดมาเธอเสียชีวิตลงในห้องฉุกเฉิน แพทย์กล่าวว่าเธอเกิดอาการช็อค ส่วนสามีผู้โศกเศร้า โทมัน เอ็มฮอฟฟ์ (แม็ตต์ เดม่อน) ก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม หลังจากนั้นไม่นานคนอื่นก็แสดงอาการลึกลับแบบเดียวกัน จาก 1 รายกลายเป็น 4 ราย 16 ราย 100 ราย 1,000 ราย เมื่อวงกว้างของโรคติดต่อที่แพร่กระจายด้วยการสัมผัสขยายขอบเขตไปทั่วโลก ขณะเดียวกันที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในประเทศอเมริกา เหล่านักวิจัยต่างระดมกำลังกันทำลายรหัสทางชีววิทยาของเชื้อโรคชนิดพิเศษที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รองผู้อำนวยการชีเวอร์ (ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น) พยายามลดความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้น แม้แต่ความกังวลของตัวเองก็ตาม และต้องส่งตัวแพทย์สาวผู้กล้าหาญ (เคท วินสเล็ต) เข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้าย ในขณะเดียวกันท่ามกลางกระแสความสงสัยที่เพิ่มทวีคูณ ดร.ลีโอโนร่า โอแรนเทส (มารีออง โกติยาร์) แห่งองค์การอนามัยโลกที่ปฏิบัติหน้าที่ผ่านการเชื่อมต่อเน็ตเวิร์ค ซึ่งนั่นสามารถสืบสาวกลับไปยังต้นกำเนิดของสิ่งที่พวกเขากำลังจัดการอยู่ เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ผู้คนพยายามปกป้องตัวเองกับคนที่พวกเขารักท่ามกลางสังคมที่มีความแตกแยก ในขณะที่ อลัน (จู้ด ลอว์) นักข่าวอิสระก็ออกมาอ้างว่ารัฐบาลไม่ได้บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนสร้างความหวาดระแวงและความกลัวที่ลามกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วซะยิ่งกว่าไวรัส

Contagion เป็นผลงานการกำกับของ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก (Ocean’s Eleven, Traffic, Contagion และ Che) จากบทของ สก๊อต เบิร์น (The Bourne Ultimatum และ The Informant) ที่ตั้งสมมติฐานว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่สามารถฆ่าผู้คนได้อย่างรวดเร็ว โดยนำเสนอในแนวรวมเหล่าดารานักแสดงคุณภาพมากมาย

Contagion นำเสนอผลกระทบของการแพร่กระจายเชื้อโรค และภาพการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หนังเลือกที่จะดำเนินเรื่องสลับเหตุการณ์ในแต่ละช่วง แม้อาจจะดูเอื่อยและน่าเบื่อ แต่มันก็ช่วยสร้างความสมจริงให้กับตัวหนังได้เป็นอย่างดี บวกกับดนตรีประกอบที่ไม่โฉ่งฉ่าง แต่กลับกระตุ้นเร้าความตื่นเต้นภายในให้กับคนดู แม้หนังจะเน้นถึงอันตรายของการแพร่กระจาย แต่โดยนัยแล้วหนังมีการให้ข้อมูลบางอย่างที่น่ากลัวและเราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน (เราเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคด้วยการสัมผัสเฉลี่ยคนละ 3000 ครั้งต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 3-5 ครั้งในทุกนาที) ซึ่งฟังดูน่ากลัวอยู่ไม่ใช่น้อย นอกจากนี้หนังยังแสดงให้เห็นถึงการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น การหาผลประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเป็นบริษัทยา นักธุรกิจ นักการเมือง การเอาตัวรอดของผู้คนในสถานการณ์การแพร่ระบาด หรือแม้กระทั่งผู้ที่เรียกตัวเองว่าสื่อมวลชนก็ตาม ต่างก็หาแสวงหาผลประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ และความละโมบของคนเราเองนั้นแหล่ะ ที่กำลังทำให้มนุษย์เดินไปพบจุดจบด้วยตัวเอง ซึ่งในตอนท้ายหนังมีคำตอบให้